ในบทความนี้เราจะสรุปแนวคิดเกี่ยวกับ Gravity Model ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ในการดึงดูดการลงทุน โดย Gravity Model คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าพื้นที่หนึ่งจะมีความสามารถในการดึงดูดเงินได้อย่างไร โดยอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดของพื้นที่ การเข้าถึง และการไหลของเงิน
ขนาดสำคัญอย่างไรใน Gravity Model
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดใน Gravity Model คือ ขนาดของพื้นที่ หรือที่เรียกว่า “Size does matter” ขนาดของพื้นที่มีผลต่อรัศมีการดึงดูด (Catchment Area) โดยพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ย่อมมีแรงดึงดูดสูงขึ้น ทำให้สามารถดึงดูดเงินและการลงทุนได้มากกว่า ขณะที่พื้นที่ที่มีขนาดเล็กจะมีรัศมีการดึงดูดที่แคบกว่า และสามารถแข่งขันกับพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ยากขึ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีพื้นที่ A และ B ที่มีขนาดและการเข้าถึงที่เท่ากัน ทั้งสองพื้นที่จะมีแรงดึงดูดและรัศมีการดึงดูดที่เท่ากัน แต่หากเพิ่มพื้นที่ C ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า A และ B พื้นที่ C จะมีรัศมีการดึงดูดที่กว้างกว่า ทำให้พื้นที่ A และ B ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น
การแข่งขันและผลกระทบของ Gravity Overlap
การแข่งขันเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ที่มี Gravity Overlap หรือรัศมีการดึงดูดซ้อนทับกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อพื้นที่ A และ C มีการซ้อนทับของรัศมีการดึงดูด พื้นที่ทั้งสองจะต้องแข่งขันกันในการดึงดูดเงินและการลงทุน ซึ่งการแข่งขันนี้อาจส่งผลให้ทั้งสองพื้นที่ได้รับการลงทุนลดลง หรือเกิดการแย่งลูกค้ากัน ในทางกลับกัน หากพื้นที่ A และ C อยู่ห่างกันเพียงพอจนไม่มีการซ้อนทับของรัศมีการดึงดูด การแข่งขันจะไม่เกิดขึ้นและทั้งสองพื้นที่สามารถดึงดูดเงินได้อย่างอิสระ
Mutual Benefit: การทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ร่วม
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันไม่ใช่เรื่องเดียวที่เกิดขึ้นจากการซ้อนทับของ Gravity ในบางกรณี การซ้อนทับของรัศมีการดึงดูดอาจก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit) โดยพื้นที่สองแห่งที่อยู่ใกล้กันมาก อาจทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแรงดึงดูดที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ห้างสองแห่งที่ตั้งอยู่ติดกันอาจช่วยเสริมซึ่งกันและกันในการดึงดูดลูกค้า ทำให้แรงดึงดูดรวมเพิ่มขึ้นจนสามารถแข่งขันกับพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้
ความสำคัญของการปรับใช้ Gravity Model ในโลกจริง
Gravity Model ในโลกความเป็นจริงไม่ใช่รูปแบบที่สมบูรณ์แบบเหมือนในทฤษฎี เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เช่น ประเภทของสิ่งปลูกสร้าง ระบบขนส่ง และการไหลของเงิน การวิเคราะห์ในปัจจุบันจึงต้องใช้ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลจาก Google Maps หรือระบบ GIS ในการประเมินศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิเคราะห์การไหลของเงินและระบบขนส่งที่มีผลต่อการดึงดูดการลงทุน
ตัวอย่างเช่น การใช้ Gravity Model ในการวิเคราะห์พื้นที่สยามและศรีนครินทร์ในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นว่าทั้งสองพื้นที่มีการดึงดูดเงินที่ต่างกัน เนื่องจากมีระบบขนส่งและขนาดของพื้นที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งในโลกจริง การประยุกต์ใช้ Gravity Model จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด
การใช้ Gravity Model ในการตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุน Gravity Model เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์พื้นที่สำหรับการลงทุน โดยนักลงทุนสามารถใช้ Gravity Model เพื่อประเมินว่าพื้นที่หนึ่งมีศักยภาพในการดึงดูดเงินมากเพียงใด และสามารถแข่งขันกับพื้นที่อื่นได้อย่างไร การเข้าใจขนาดของพื้นที่ รัศมีการดึงดูด และระบบขนส่งในบริเวณนั้น จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสุดในการเติบโตและเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
คำถาม
- Gravity Model คืออะไร และมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งอย่างไร?
- ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อขนาดและรูปร่างของ Catchment Area ในโลกความเป็นจริง?
- Competition และ Mutual Benefit ในบริบทของ Gravity Model มีลักษณะอย่างไร?
- เพราะเหตุใด Catchment Area ในปัจจุบันจึงไม่เป็นรูปวงกลมที่สมบูรณ์เหมือนในอดีต?
- ผู้เรียนสามารถนำความรู้เรื่อง Gravity Model ไปประยุกต์ใช้ในการเลือกทำเลลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างไร?
สรุป
Gravity Model เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่สำหรับการดึงดูดเงินและการลงทุน โดยการพิจารณาขนาดของพื้นที่ รัศมีการดึงดูด และปัจจัยการแข่งขัน นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด และเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสุด การประยุกต์ใช้ Gravity Model ในโลกจริงยังต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระบบขนส่งและการไหลของเงิน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด
คำสำคัญ: Gravity Model, การแข่งขัน, รัศมีการดึงดูด, การลงทุน, ระบบขนส่ง
อ้างอิง: C107-3-1 Recap for Gravity Model
โพสนี้ถูกสรุปสั้นๆ จาก VDO อ้างอิง เพื่อใช้ทวน นักศึกษาควรดูวิดีโอนั้นๆ ตามรหัสวิดีโอ