การวิเคราะห์ Fair Price และ Valuation เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการลงทุนใน Wonderful Companies นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาว่าหุ้นนั้นมีมูลค่ามากเกินไปหรือไม่ในช่วงเวลาที่ซื้อ เพราะการซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไปอาจทำให้มีความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับตัวลง ซึ่งสร้างความเครียดและทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะกลับมาที่ราคาเดิมเมื่อไหร่
การดูมูลค่าของตลาดและ P/E Ratio
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณา Fair Price คือการตรวจสอบ P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio) ของหุ้น ณ ขณะนั้น เราจำเป็นต้องรู้ว่ามูลค่าหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทนั้นเป็นอย่างไร และควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตเพื่อดูว่า P/E Ratio ในปัจจุบันนั้นสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ตัวอย่างเช่น หาก P/E Ratio ของตลาดสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต อาจเป็นสัญญาณว่าหุ้นในตลาดนั้นมีราคาสูงเกินไปและควรหลีกเลี่ยงการลงทุน แต่ในทางกลับกัน หาก P/E Ratio สูงแต่ราคาหุ้นยังคงต่ำ นักลงทุนอาจมีโอกาสในการลงทุนที่ดี
การคำนวณ Fair Price ด้วยสูตรของ Benjamin Graham
Benjamin Graham หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ได้พัฒนาสูตรง่ายๆ ในการคำนวณ Fair Price โดยใช้ตัวเลขอย่าง P/E Ratio และ P/B Ratio (Price-to-Book Ratio) โดยทั่วไปแล้ว P/E Ratio ควรน้อยกว่า 15 และ P/B Ratio ควรน้อยกว่า 1.5 อย่างไรก็ตาม Graham ยังได้เสนอวิธีการคำนวณเพิ่มเติมโดยการคูณ P/E และ P/B เข้าด้วยกัน และผลลัพธ์ไม่ควรเกิน 22.5
ตัวอย่างเช่น หาก P/E ของบริษัทหนึ่งมีค่าเท่ากับ 15 และ P/B มีค่าเท่ากับ 1.5 เมื่อคูณกันแล้วจะได้ 22.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุนตามสูตรของ Graham
New Economy และการปรับใช้ Valuation
ในปัจจุบัน เศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จาก Old Economy ที่เน้นทรัพย์สินที่จับต้องได้เช่น เครื่องจักร โรงงาน และแรงงาน ไปสู่ New Economy ที่เน้นทรัพย์สินดิจิทัล เช่น ซอฟต์แวร์ อัลกอริธึม และข้อมูล ทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นตามสูตรเก่าๆ อย่าง P/B Ratio และ P/E Ratio อาจไม่เหมาะสมกับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีหรือดิจิทัล
ตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Microsoft หรือ Google ที่มีซอฟต์แวร์และข้อมูลเป็นสินทรัพย์หลัก อาจมีต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ที่ต่ำมาก แต่สามารถขยายธุรกิจได้ทั่วโลก ดังนั้น การใช้ P/B Ratio ในการประเมินมูลค่าของบริษัทเหล่านี้อาจไม่สามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้
การเปลี่ยนแปลงในความสำคัญของข้อมูล
ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตมักจะถูกเก็บไว้ในกลุ่มคนหรือองค์กรเฉพาะ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูล แต่ในปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับราคาหุ้นหรือสถานะทางการเงินของบริษัทเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย นักลงทุนสามารถตรวจสอบราคาหุ้น และวิเคราะห์ว่า Wonderful Companies ในตลาดมีราคาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนหรือไม่
ปรับใช้ Valuation ในยุคใหม่
เมื่อเข้าสู่ยุคของ New Economy เราอาจต้องปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Valuation แบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น ในอดีตเราอาจพิจารณาว่า P/E ควรต่ำกว่า 15 เพื่อให้ถือว่าหุ้นนั้นมีมูลค่าต่ำ แต่ในยุคนี้ เราอาจต้องพิจารณาหุ้นที่มี P/E สูงกว่า 30 โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง
การปรับใช้เครื่องมือใหม่ๆ เช่น PEG Ratio (Price/Earnings to Growth Ratio) เป็นทางเลือกหนึ่งในการวิเคราะห์หุ้น โดย PEG Ratio ที่ต่ำกว่า 1 หมายความว่าหุ้นนั้นมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของบริษัท
ตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้น Microsoft และ Google
การใช้ตัวอย่างของบริษัท Microsoft ในการวิเคราะห์ Fair Price จะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพชัดเจนขึ้น ในช่วงเวลาหนึ่ง P/E Ratio ของ Microsoft อยู่ที่ประมาณ 30 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ดั้งเดิมของ Graham อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของบริษัทและการขยายตัวในธุรกิจต่างๆ Microsoft ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าในการลงทุนระยะยาว
Google ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ ด้วยซอฟต์แวร์และข้อมูลที่มีอยู่ Google สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลจากการทำธุรกิจด้านการค้นหาและการโฆษณา ซึ่งทำให้ P/E Ratio ของบริษัทนี้อาจสูงกว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น แต่ยังคงน่าสนใจในการลงทุน
ความสำคัญของการอัปเดตข้อมูลและความรู้
เมื่อพูดถึง Valuation สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้องอัปเดตข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับบริษัทและตลาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินจากรายงานของบริษัทอาจเป็นเพียง “ภาพรวม” ของสถานะทางการเงินในช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนควรใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ แต่อย่าพึ่งพาข้อมูลทางการเงินอย่างเต็มที่ในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย
การตัดสินใจลงทุนใน Wonderful Companies
ในการเลือก Wonderful Companies เพื่อการลงทุน นักลงทุนนอกจากจะพิจารณา Fair Price และ Valuation แล้ว ยังควรพิจารณาผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทด้วย เช่น บริษัท Microsoft ที่มีผลิตภัณฑ์อย่าง Windows และ Office ที่เราคุ้นเคยและใช้ในชีวิตประจำวัน หรือบริษัท Google ที่เป็นผู้นำในด้านการค้นหาออนไลน์
การเลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ เพราะเรามั่นใจว่าบริษัทเหล่านี้มีรายได้ที่มั่นคงและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
คำถาม
- Fair Price คืออะไร และทำไมการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกต้องจึงสำคัญต่อการลงทุนใน Wonderful Companies?
- เหตุใดการวิเคราะห์ PE Ratio และ PB Ratio จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินมูลค่าหุ้น และตัวเลขเหล่านี้ควรอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ในยุค New Economy?
- การเปลี่ยนแปลงจาก Old Economy สู่ New Economy ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างไร โดยเฉพาะในกรณีของบริษัทที่มีสินทรัพย์เป็น Intangible เช่น Software หรือ Algorithm?
- เหตุใดการประเมิน Financial Statements จึงควรใช้เป็นแนวทาง (Guidance) ไม่ใช่บทสรุปที่แน่นอน (Ultimatum) ในการตัดสินใจลงทุน?
- ทำไมบริษัทที่มีการเติบโตสูง เช่น Netflix หรือ Google จึงมักมี PE Ratio สูง และนักลงทุนควรระมัดระวังในการเข้าลงทุนในบริษัทเหล่านี้อย่างไร?
สรุป
การวิเคราะห์ Fair Price และ Valuation เป็นขั้นตอนสำคัญในการลงทุน โดยนักลงทุนต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้ง P/E Ratio, P/B Ratio และ PEG Ratio ในการวิเคราะห์มูลค่าหุ้น นอกจากนี้ การปรับใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เหมาะสมกับ New Economy เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงได้
สุดท้ายนี้ นักลงทุนควรอัปเดตข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับบริษัทและตลาดอย่างสม่ำเสมอ และใช้ข้อมูลทางการเงินเป็นแนวทางในการตัดสินใจ แต่อย่าพึ่งพาเพียงข้อมูลเหล่านี้เพียงอย่างเดียว เพราะการลงทุนใน Wonderful Companies ควรพิจารณาปัจจัยหลายมิติ ทั้งมูลค่าหุ้นและผลิตภัณฑ์หรือบริการที่บริษัทนำเสนอ
คำสำคัญ: Fair Price, Valuation, P/E Ratio, P/B Ratio, PEG Ratio, New Economy, Microsoft, Google, Wonderful Companies
อ้างอิง: G109-3 Fair Price and Valuation
โพสนี้ถูกสรุปสั้นๆ จาก VDO อ้างอิง เพื่อใช้ทวน นักศึกษาควรดูวิดีโอนั้นๆ ตามรหัสวิดีโอ