ทำความรู้จักกับการใช้งาน Chart Overview ใน TradingView

ในวิดีโอนี้เราจะมาพูดถึงการใช้งาน Chart Overview ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำคัญใน TradingView ที่นักลงทุนต้องรู้จักและใช้อย่างชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการดูกราฟ การตั้งค่าอินดิเคเตอร์ และการตั้งค่า Alert เพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

TradingView เป็นเครื่องมือที่มีความสามารถหลากหลายในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งนอกจากจะมีฟีเจอร์อย่าง Screener และ Alert แล้ว นักวิเคราะห์หุ้นจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างของ Chart และวิธีการใช้งานให้ดีเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการศึกษา

โครงสร้างหลักของ Chart Overview

ใน Chart Overview ของ TradingView มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ เมนูหลัก (Main Menu), ช่วงเวลา (Time Frame) และการวาดชาร์ต (Chart Drawing) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจและใช้งานให้คล่องเพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น

ส่วนแรกคือเมนูหลัก (Main Menu) ซึ่งจะใช้สำหรับใส่ Ticker (ชื่อหุ้น), Time Frame และการเพิ่มอินดิเคเตอร์ต่างๆ ส่วนถัดมาคือช่วงเวลา (Time Frame) ที่ใช้ในการกำหนดช่วงเวลาที่คุณต้องการดูข้อมูล เช่น กราฟรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน

ส่วนที่สามคือ Chart Drawing ซึ่งเป็นส่วนที่ให้คุณสามารถวาดกราฟหรือใส่เส้นต่างๆ ลงไปในชาร์ตเพื่อทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การวาดแนวรับและแนวต้าน เป็นต้น

การเปลี่ยน Time Frame และ Chart Range

การตั้งค่า Time Frame ใน TradingView มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการวิเคราะห์หุ้นในช่วงเวลาต่างๆ เช่น หากคุณต้องการดูข้อมูลในระยะยาว คุณอาจเลือกใช้ Time Frame เป็นรายปีหรือรายเดือน และการใช้งาน Chart Range จะช่วยให้คุณสามารถกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการดูได้ เช่น ดูข้อมูลจากปีที่แล้วถึงปีนี้ หรือดูข้อมูลจากช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเปลี่ยนแปลง Time Frame อัตโนมัติ หากคุณเลือกดูข้อมูลในระยะเวลานานๆ เช่น 5 ปี หรือ 20 ปี ระบบจะเปลี่ยนจากกราฟรายวันเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดสามารถแสดงได้อย่างครบถ้วนในกราฟเดียว

การเปรียบเทียบหุ้นด้วย Comparison Chart

ฟีเจอร์ Comparison Chart ช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบหุ้นหลายตัวได้พร้อมกัน โดยเริ่มจากการเลือกหุ้นที่ต้องการเปรียบเทียบและตั้งค่า Benchmark เช่น คุณอาจเลือกเปรียบเทียบหุ้นของ Google, Facebook และ Amazon กับดัชนี NASDAQ เพื่อดูว่าแต่ละตัวมีผลการดำเนินงานอย่างไรเมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง

การตั้งค่า Benchmark อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแต่ละดัชนีมีการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน เช่น ดัชนี S&P 500 อาจเคลื่อนไหวไม่เหมือนกับดัชนี NASDAQ ดังนั้นการเลือก Benchmark ที่เหมาะสมจะช่วยให้การวิเคราะห์ของคุณมีความแม่นยำมากขึ้น

การใช้ Volume Profile Indicator

Volume Profile เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเห็นปริมาณการซื้อขายหุ้นในแต่ละระดับราคา คุณสามารถใช้ Volume Profile เพื่อวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน โดยดูจากปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงราคา

Volume Profile ใน TradingView มีสองแบบหลัก ได้แก่ Visible Range และ Fixed Range โดย Visible Range จะคำนวณปริมาณการซื้อขายในช่วงเวลาที่แสดงผลบนหน้าจอ ส่วน Fixed Range จะใช้ปริมาณการซื้อขายจากช่วงเวลาที่คุณกำหนดเอง ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต

การสร้างและใช้งาน Template ใน TradingView

การสร้าง Template ใน TradingView เป็นวิธีที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการกับการตั้งค่าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การสร้าง Chart Template เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบหุ้นหลายตัว หรือการสร้าง Drawing Template สำหรับการวาดเส้นแนวโน้มและแนวรับแนวต้าน

การใช้งาน Template ยังช่วยลดเวลาในการตั้งค่ากราฟใหม่ทุกครั้งที่คุณเปิดดูหุ้นตัวใหม่ เพียงแค่เลือก Template ที่คุณบันทึกไว้ การตั้งค่าทั้งหมดจะถูกนำมาใช้กับกราฟทันที

การจัดการ Watchlist และ Screener

นอกจากการวิเคราะห์กราฟแล้ว การจัดการ Watchlist และ Screener เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามหุ้นที่สนใจได้ง่ายขึ้น คุณสามารถสร้าง Watchlist สำหรับหุ้นที่คุณติดตามเป็นประจำ และใช้ Screener ในการกรองหุ้นตามเกณฑ์ที่คุณต้องการ เช่น การกรองหุ้นที่มี PE Ratio ต่ำ หรือหุ้นที่มี Market Cap สูง

การตั้งค่า Screener ช่วยให้นักลงทุนสามารถค้นหาหุ้นที่ตรงกับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพ

คำถาม

  1. เหตุใด Chart Layout จึงเป็นฟีเจอร์หลักที่นักลงทุนควรเข้าใจในการใช้ TradingView?
  2. การใช้ Time Frame และ Chart Range มีผลกระทบอย่างไรต่อการแสดงผลของข้อมูลและการวิเคราะห์หุ้นใน TradingView?
  3. ฟีเจอร์ Volume Profile ใน TradingView มีบทบาทสำคัญอย่างไรในการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านของหุ้น?
  4. ทำไมการใช้ Watchlist จึงเป็นประโยชน์ต่อการจัดการพอร์ตการลงทุน และนักลงทุนควรใช้ Flag Color อย่างไรในการจัดกลุ่มหุ้น?
  5. การตั้งค่า Alert ใน TradingView ช่วยให้นักลงทุนติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร?

สรุป

การใช้งาน TradingView ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด หากคุณทำความเข้าใจกับฟีเจอร์หลักๆ เช่น Chart Overview, Volume Profile, และการสร้าง Template คุณจะสามารถวิเคราะห์หุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดเวลาในการวิเคราะห์ และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจลงทุนที่แม่นยำขึ้น

คำสำคัญ: TradingView, Chart Overview, Time Frame, Volume Profile, Comparison Chart, Template, Watchlist, Screener, การลงทุนหุ้น, การวิเคราะห์หุ้น

อ้างอิง: G105-3 Chart Overview

โพสนี้ถูกสรุปสั้นๆ จาก VDO อ้างอิง เพื่อใช้ทวน นักศึกษาควรดูวิดีโอนั้นๆ ตามรหัสวิดีโอ