The “Andrew Carnegie” video has a duration of approximately 16 minutes. Based on the guideline of 1,000 words per 10 minutes, the corresponding blog post should have around 1,600 words. I will now proceed to write the post accordingly.
“`html
แอนดรูว์ คาร์เนกี: จากเด็กยากจนสู่มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ
แอนดรูว์ คาร์เนกี เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้อพยพชาวสก็อตที่ยากจน แต่สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจเหล็กที่ยิ่งใหญ่จนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอเมริกา เรื่องราวของคาร์เนกีเป็นเรื่องของความขยัน ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้โอกาสทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด
จุดเริ่มต้นจากความยากจน
ชีวิตของคาร์เนกีเริ่มต้นในเมืองดันเฟิร์มลิน สก็อตแลนด์ ครอบครัวของเขามีฐานะยากจนมาก พ่อของเขาทำงานทอผ้าโดยใช้เครื่องทอมือ และแม่ของเขาต้องเย็บรองเท้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำเข้ามาในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ธุรกิจทอผ้าของพ่อคาร์เนกีก็ล้มเหลว ทำให้ครอบครัวต้องประสบกับความลำบาก
ในปี 1848 ครอบครัวคาร์เนกีได้ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปยังอเมริกา หลังจากขายทรัพย์สินทั้งหมดและกู้ยืมเงิน 20 ปอนด์ ครอบครัวนี้ได้เดินทางไปยังเมืองพิตส์เบิร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตของอเมริกา แต่พวกเขายังคงต้องเผชิญกับความยากลำบาก แม้ว่าจะย้ายไปอยู่ในประเทศใหม่แล้วก็ตาม
โอกาสในการทำงานที่พิตส์เบิร์ก
แอนดรูว์ คาร์เนกี ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานและช่วยเหลือครอบครัว โดยงานแรกของเขาคือเป็นเด็กส่งโทรเลขในพิตส์เบิร์ก งานนี้ทำให้คาร์เนกีได้รู้จักกับผู้คนในวงการธุรกิจในเมืองนี้ และเขาใช้เวลานี้ในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการสื่อสารทางโทรเลข ซึ่งกลายเป็นทักษะที่สำคัญต่อเขาในอนาคต
เมื่ออายุ 17 ปี คาร์เนกีได้รับการจ้างงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของโทมัส สก็อต ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเพนซิลเวเนียเรลโรด หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น การทำงานใกล้ชิดกับสก็อตทำให้คาร์เนกีได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจและวิธีการลงทุน
การเข้าสู่โลกธุรกิจเหล็ก
ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา คาร์เนกีถูกเรียกตัวเข้าร่วมรบ แต่เขาเลือกที่จะจ่ายเงิน 850 ดอลลาร์ เพื่อให้มีคนไปแทนที่เขาในสนามรบ ในช่วงเวลานี้เอง คาร์เนกีได้สังเกตเห็นปัญหาที่เกิดจากสะพานไม้ที่ถูกเผาทำลายระหว่างสงคราม เขาเห็นโอกาสในตลาดนี้และก่อตั้งบริษัท Keystone Bridge เพื่อผลิตสะพานเหล็ก
คาร์เนกีมีความสามารถในการคิดค้นวิธีการเพิ่มผลกำไรอย่างชาญฉลาด นอกจากการสร้างสะพานแล้ว บริษัท Keystone ยังมีโรงงานผลิตเหล็กของตัวเอง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและสร้างกำไรได้มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทอื่นๆ ในการจัดหาเหล็ก นอกจากนี้ คาร์เนกียังใช้ความสัมพันธ์กับวงการรถไฟในการทำกำไรจากการขายเหล็กให้กับทางรถไฟอีกด้วย
การขยายธุรกิจเหล็ก
ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจ คาร์เนกีได้ก่อตั้งโรงงานผลิตเหล็กขนาดใหญ่แห่งแรกของอเมริกา เขามุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด โรงงานของเขาเป็นที่รู้จักในเรื่องของความเข้มงวดในการทำงาน พนักงานถูกบังคับให้ทำงาน 364 วันต่อปี และเทคโนโลยีที่คาร์เนกีใช้ในโรงงานของเขายังเป็นการแทนที่แรงงานมนุษย์ด้วยเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนการผลิต
คาร์เนกีไม่เพียงแค่สนใจในด้านการผลิต แต่ยังมีความสามารถในการทำการตลาดอย่างยอดเยี่ยม เขาเลือกตั้งชื่อโรงงานเหล็กของเขาเป็น J. Edgar Thomson Steelworks ซึ่งเป็นชื่อของลูกค้ารายใหญ่ในวงการรถไฟ วิธีนี้ทำให้คาร์เนกีได้รับคำสั่งซื้อเหล็กจำนวนมหาศาลจากลูกค้ารายนี้ และสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน
การทำงานร่วมกับเฮนรี ฟริก
ในการบริหารโรงงานเหล็ก คาร์เนกีได้ร่วมงานกับเฮนรี เคลย์ ฟริก ผู้จัดการที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและความเข้มงวดในการจัดการ ฟริกและคาร์เนกีร่วมกันสร้างอาณาจักรเหล็กที่ไม่มีใครเทียบได้ในยุคนั้น พวกเขาใช้กลยุทธ์การแข่งขันที่ดุดันในการทำลายคู่แข่ง เช่น การปล่อยข่าวลือว่าโรงงานเหล็กของคู่แข่งผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าหันมาซื้อเหล็กจากบริษัทของคาร์เนกีแทน
เหตุการณ์สังหารหมู่ที่โฮมสเตด
แม้ว่าอาณาจักรเหล็กของคาร์เนกีจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การบริหารงานที่เข้มงวดและการลดค่าแรงของพนักงานก็ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่แรงงาน ในปี 1892 เหตุการณ์สังหารหมู่ที่โฮมสเตดเกิดขึ้น เมื่อแรงงานในโรงงานเหล็กของคาร์เนกีประท้วงการลดค่าแรงและสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย เฮนรี ฟริก ซึ่งเป็นมือขวาของคาร์เนกี ตัดสินใจจ้างกองกำลัง Pinkerton ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนตัว มาปราบปรามผู้ประท้วง
เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน และทำให้ภาพลักษณ์ของคาร์เนกีเสียหายอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนสิทธิแรงงาน แต่การกระทำของเขากลับสวนทางกับคำพูด คาร์เนกีถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการใช้แรงงานที่ไม่ปลอดภัยและการลดค่าแรง
การขายอาณาจักรเหล็ก
ในปี 1901 เมื่อคาร์เนกีอายุได้เกือบ 70 ปี เขาตัดสินใจขายบริษัทเหล็กของเขาให้กับ เจ.พี. มอร์แกน ในราคา 480 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้คาร์เนกีกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในเวลานั้น หลังจากขายบริษัท คาร์เนกีได้หันหลังให้กับวงการธุรกิจและใช้เวลาที่เหลือของชีวิตในการทำการกุศล
การเป็นมหาเศรษฐีใจบุญ
คาร์เนกีเป็นที่รู้จักในเรื่องของการทำการกุศล เขาเชื่อว่าความมั่งคั่งไม่ควรถูกเก็บไว้ แต่ควรถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เขาได้บริจาคเงินจำนวนมากเพื่อสร้างห้องสมุดกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก รวมถึง Carnegie Hall ซึ่งเป็นหอแสดงดนตรีที่มีชื่อเสียงในนิวยอร์ก
แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการใช้วิธีการธุรกิจที่โหดเหี้ยมในช่วงที่เขาบริหารบริษัท แต่ในช่วงท้ายของชีวิตเขาได้อุทิศตนให้กับการช่วยเหลือสังคมและการพัฒนาชุมชนทั่วโลก การบริจาคเงินและทรัพย์สินของเขาช่วยให้คนหลายล้านคนได้เข้าถึงการศึกษาและโอกาสที่ดีขึ้น
สรุป
แอนดรูว์ คาร์เนกี เป็นตัวอย่างที่ดีของความสามารถในการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากความยากจนสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ เขาใช้ความคิดสร้างสรรค์และโอกาสที่มีในการสร้างอาณาจักรธุรกิจเหล็กที่ยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมในการบริหารงาน แม้จะมีความขัดแย้งในเรื่องนี้ แต่ในท้ายที่สุด คาร์เนกีได้อุทิศตนเพื่อการกุศลและช่วยเหลือสังคมทั่วโลก
คำสำคัญ: แอนดรูว์ คาร์เนกี, การลงทุน, ธุรกิจเหล็ก, การทำการกุศล, การเปลี่ยนแปลงชีวิต
อ้างอิง: G110-2 Andrew Carnegie
โพสนี้ถูกสรุปสั้นๆ จาก VDO อ้างอิง เพื่อใช้ทวน นักศึกษาควรดูวิดีโอนั้นๆ ตามรหัสวิดีโอ